foto1
Internet & Security
foto1
Learn to build your website
foto1
Try to our Goal!
foto1
Tip & Tricks to use Computer
foto1
Operating System


Our Sponsor

side 1

Easyhome Group

krumontree200x75
isangate com 200x75
ppor 200x75
isangate net 200x75
 e mil

No. of Page View

blood donate

evcar header

โลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วทั้งการพัฒนาเทคโนโลยี การใช้งานทรัพยากรธรรมชาติเกินขีดจำกัด การเปลี่ยนแปลงที่เห็นชัดเจนและมีผลกระทบมากที่สุด คือ การทำลายทรัพยากรธรรมชาติจนขาดความสมดุลย์ อุณหภูมิของโลกร้อนขึ้นรวดเร็วผิดปกติ จนฤดูกาลเปลี่ยนแปลงทันทีทันใด น้ำแข็งขั้วโลกละลายจนหมีขั้วโลกต้องอดอยาก บนผืนแผ่นดินหลายแห่งก็ร้อนและแห้งแล้ง เกิดความอดอยากหิวโหยพอๆ กัน ในประเทศอินเดียมีผู้คนล้มตายกันเพราะอุณหภูมิที่สูงขึ้นมากกว่า 45 องศาเซลเซียส สำหรับประเทศไทยบ้านเราก็ "หนาวเหน็บ" ในเดือนเมษายนกันแล้วในปีนี้ การใช้ยานพาหนะที่ใช้ เครื่องยนต์สันดาป (ICE) คือหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้โลกร้อนขึ้น เพราะปล่อยไอเสีย ก็าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ฝุ่น PM 2.5 ออกสู่ชั้นบรรยากาศ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV Car) จึงเป็นทางออกที่ทั่วโลกกำลังแสวงหานำมาใช้งานทดแทนในวันนี้และอนาคต

petrol2ev

รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle : EV) อาจฟังดูเป็นเรื่องใหม่สำหรับยุคนี้ แต่ความจริงแล้วรถยนต์ไฟฟ้าคันแรกของโลกเกิดขึ้นมาตั้งแต่ประมาณปี 1828 แล้ว (สนใจคลิกอ่านตรงนี้) แต่เพิ่งจะได้รับความสนใจ และมีการหันมาพัฒนารถยนต์ไฟฟ้ากันอย่างจริงจังมากขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 21 ด้วยหลักการทำงานที่ขับเคลื่อนโดย มอเตอร์ไฟฟ้า แทนการใช้ เครื่องยนต์สันดาป ที่ใช้น้ำมันหรือเชื้อเพลิงอื่นๆ ที่มีการเผาไหม้ จึงทำให้ทั่วโลกหันมาให้ความสำคัญเพื่อช่วยโลกให้สะอาดและน่าอยู่ขึ้น

รถยนต์ไฟฟ้า คือ รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานจากไฟฟ้า 100% โดยใช้พลังงานไฟฟ้าที่ถูกเก็บไว้ในแบตเตอรี หรืออุปกรณ์เก็บพลังงานไฟฟ้าแบบต่างๆ หรือให้เข้าใจง่ายๆ ก็เป็นการแปลงพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรีมาใช้ในการขับเคลื่อนรถไปข้างหน้า ไม่มีกลไกลอะไรซับซ้อน ต่างจากรถยนต์ใช้น้ำมันที่ต้องอาศัยการจุดระเบิดเผาไหม้เพื่อการขับเคลื่อน จึงทำให้รถยนต์ไฟฟ้ามีอุปกรณ์ขับเคลื่อนที่เงียบ และไม่มีไอเสีย จากการเผาผลาญพลังงาน และนอกจากรถยนต์ไฟฟ้าจะเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังมีข้อดีอื่นๆ อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น

  • ประหยัดค่าซ่อมบำรุง ค่าน้ำมัน เพราะใช้พลังงานมาทดแทนน้ำมันเชื้อเพลงที่นับวันมีแต่จะมีราคาพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ และด้วยความที่ไม่มีเครื่องยนต์ ทำให้ไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง หัวเทียน ฯลฯ การดูแลรักษาจึงง่ายและประหยัดกว่า ไม่ต้องเข้าศูนย์บริการทุกระยะ 5,000 หรือ 10,000 กิโลเมตร บางรุ่น/บางยี่ห้อจะเข้าศูนย์บริการในระยะ 1-2 ปี ก็มี
  • อัตราเร่งให้แรงบิดที่เร็วทันใจแทบจะทันที เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าไม่ได้ใช้เครื่องยนต์สันดาป ส่งผลให้การทำงานมีเสียงที่เบา เงียบ กว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมัน  และทำให้มีอัตราการเร่งที่เร็ว ปราดเปรียว ตอบสนองความต้องการในการขับขี่ของผู้ขับได้ดั่งใจ พลังมาเต็มๆ ตั้งแต่รอบหมุนแรกไม่ต้องรอรอบสูงๆ เหมือนเครื่องยนต์สันดาป
  • ไม่เสียเวลาแวะเติมน้ำมัน โดยเฉพาะช่วงเวลาเร่งรีบ ตอนเช้าที่น้ำมันในถังใกล้จะหมดแล้วไม่มีเวลาแวะเติม หรือประเมินแล้วว่าขับไปไม่ถึงปั๊มแน่ๆ แต่รถยนต์ไฟฟ้าสามารถชาร์จแบตเตอรี่ที่บ้านได้ (เหมือนมีปั๊มน้ำมันในบ้าน) เสียบชาร์จทิ้งไว้ระหว่างที่เราหลับ พักผ่อน พอตื่นเช้ามาก็มีกระแสไฟเพียงพอก็สามารถใช้งานได้ทันที บางคนอาจจะบอกว่า "เสียเวลาตอนชาร์จระหว่างทาง" เรื่องนี้เฉพาะการเดินทางไกลข้ามจังหวัดเท่านั้น ซึ่งในความเป็นจริงแม้รถใช้น้ำมันเชื้อเพลิงก็ต้องแวะเติมน้ำมัน พักรถ พักคน เพื่อเข้าห้องน้ำ ทานอาอาหาร เข้าร้านกาแฟกันอยู่แล้ว (ปัจจุบัน มีสถานีชาร์จไฟฟ้าแบบเร็วเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้มีปัญหามากมายอะไรในการเดินทางแล้ว และกำลังขยายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน)

การแบ่งประเภทของรถยนต์ไฟฟ้า

รถยนต์ไฟฟ้า แบ่งเป็นหลายประเภทตามลักษณะการทำงาน การใช้พลังงาน และแหล่งจ่ายพลังงาน ดังนี้

1. รถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) – เป็นรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรีเพียงอย่างเดียว ไม่มีเครื่องยนต์สันดาปภายใน สามารถชาร์จกระแสไฟฟ้าเข้าแบตเตอรี่ได้จากเครื่องชาร์จประจำบ้าน (Wall box) แบบ AC ตั้งแต่ 7-22 kw โดยใช้เวลาชาร์จประมาณ 6-10 ชั่วโมง สำหรับการชาร์จปกติ หรือ 30 นาที - 1 ชั่วโมง สำหรับการชาร์จแบบเร็ว DC charger ตามสถานีอัดประจุสาธารณะ ตั้งแต่ 50 - 250 kw

type ev 01

2. รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด (HEV) – มีรูปแบบการทำงานที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ผสมกับพลังงานไฟฟ้า ระบบจะทำงานเองอัตโนมัติ โดยมอเตอร์จะช่วยออกตัวด้วยระบบไฟฟ้าก่อนที่เครื่องยนต์จะทำงานต่อ ไม่สามารถใช้ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวในการขับเคลื่อนได้ หากในกรณีรถติดหรือรถหยุดนิ่งกับที่ ถ้ารถมีแบตเตอรีมากพอเครื่องยนต์จะดับลง แล้วดึงไฟจากแบตเตอรีมาใช้กับอุปกรณ์ต่างๆ เช่น ไฟหน้ารถ เครื่องปรับอากาศ และระบบเครื่องเสียง ขนาดของแบตเตอรี่ไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนัก จะประหยัดน้ำมันได้ในระดับหนึ่งหากใช้ในเมืองที่รถติด แต่ไม่ประหยัดนักในการเดินทางไกลใช้ความเร็วสูงๆ

3. รถยนต์ไฟฟ้าปลั๊ก-อิน ไฮบริด (PHEV) – หนึ่งในรถยนต์ไฟฟ้าประเภทไฮบริด ผสานระหว่างเครื่องยนต์เบนซินหรือดีเซลเข้าด้วยกัน มีแบตเตอรีขนาดใหญ่ที่ชาร์จไฟได้มากขึ้น รองรับการประจุไฟฟ้าจากนอกตัวรถใช้เวลาชาร์จแบตเตอรีให้เต็มประมาณ 4-6 ชั่วโมง สามารถวิ่งได้โดยใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรีเพียงอย่างเดียวได้ระยะทางประมาณ 20-80 กิโลเมตร แต่ก็ยังสามารถกลับมาใช้ระบบไฮบริดที่ใช้ทั้งน้ำมันและไฟฟ้าร่วมกันได้เหมือนแบบที่ 2

type ev 02

4. รถพลังงานไฮโดรเจน (Fuel Cell) – รถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้พลังงานไฮโดรเจน (พลังงานสะอาด) มาแปลงเป็นกระแสไฟฟ้าเพื่อนำไปขับเคลื่อนให้รถยนต์แล่นไปได้ โดยในโครงสร้างจะมีแผงเซลล์เชื้อเพลิงที่เก็บไฮโดรเจนในรูปแบบของเหลว มอเตอร์ไฟฟ้าทำหน้าที่ขับเคลื่อนควบคู่กับการชาร์จกระแสไฟฟ้าและแบตเตอรี โดยมีหลักการทำงานคือ ส่งไฮโดรเจนและอากาศที่มีออกซิเจนเข้าไปสู่แผงเซลล์เชื้อเพลิง สร้างกระแสไฟฟ้าเก็บไว้ในแบตเตอรี แล้วกระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรีก็จะถูกส่งไปที่มอเตอร์ไฟฟ้า เพื่อใช้ในการขับเคลื่อนรถยนต์ต่อไป ระบบนี้มีปัญหาที่สถานีผลิตไฮโดรเจนที่มีต้นทุนสูง ต้องมีถังเก็บไฮโดรเจนแรงดันสูงในรถ ซึ่งจะเหมาะกับรถบรรทุกหรือรถโดยสารขนาดใหญ่มากกว่ารถยนต์นั่งทั่วไป

ยังมีรถยนต์ไฟฟ้าอีก 2 แบบที่คล้ายๆ กันและมีคำถามว่า ควรจะเป็นรถยนต์ประเภทใดกันแน่ คือ รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์แบบ e-Power และรถยนต์แบบ REEV (Range Extender Electric Vehicle) รถยนต์ทั้งสองแบบนี้จัดเป็นแบบ Hybrid นะครับ คือมีทั้งระบบเครื่องยนต์และไฟฟ้าทำงานร่วมกันโดย

  • อี พาวเวอร์ (e-Power) เป็นเทคโนโลยีที่มีการผสมผสานการทำงานระหว่างระบบ Hybrid กับ EV ตัวรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า โดยมีเครื่องยนต์ขนาดเล็กทำหน้าที่ปั่นผลิตกระแสไฟฟ้าไปเก็บไว้ที่แบตเตอรี แล้วส่งพลังงานไปยังมอเตอร์ไฟฟ้า หรือให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ พลังงานไฟฟ้าจะถูกสร้างขึ้นจากเครื่องยนต์ (ไม่มีช่องสำหรับชาร์จไฟฟ้าจากภายนอก) แต่ตัวรถจะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (แบบรถยนต์ไฟฟ้า EV) ไม่มีการชาร์จไฟ เพียงเติมน้ำมันก็ใช้งานได้ตามปกติแล้ว ตัวอย่างคือ รถยนต์ Nissan Kicks
  • รถยนต์ไฟฟ้าแบบขยายระยะทาง (REEV) - ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเพียงอย่างเดียว มีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่กว่า e-Power วิ่งระยะทางได้ไกลระหว่าง 250-500 กิโลเมตรต่อการชาร์จ เน้นการทํางานโดยใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นหลักก่อน โดยผู้ผลิตรถยนต์บางรายติดตั้งเครื่องยนต์เพื่อทำหน้าที่ปั่นไฟให้ประจุแบตเตอรี่ระหว่างการเดินทาง เพื่อเพิ่มระยะทางในการใช้งานให้มากขึ้น ตัวอย่างคือ รถยนต์ BMW i3, Chevrolet Volt, และ DFSK SERES 5 เอสยูวีขุมพลังไฟฟ้าจากจีน พร้อมเทคโนโลยี Range Extender ช่วยเพิ่มระยะทางขับขี่ได้ไกลกว่า 1,000 กิโลเมตร และ Li ONE SUV จาก Li Motor ของจีน บางยี่ห้อก็ใช้คำว่า รถยนต์แบบ EREV (Extended Range Electric Vehicle) ก็แบบเดียวันนี่แหละไม่ใช่แบบใหม่

reev car

แต่ในบทความที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ จะเน้นที่ รถยนต์ไฟฟ้าล้วนๆ ชนิดใช้แบตเตอรี่ (BEV - Battery Electric Vehicle) เท่านั้นนะครับ ที่เป็นกระแสและมีความนิยมตามที่รัฐบาลกำลังส่งเสริมให้คนไทยเปลี่ยนมาใช้งานกัน ด้วยมาตรการทางภาษีให้กับค่ายรถยนต์ต่างๆ ให้นำเข้ามาและผลิตใช้ภายในประเทศให้มากขึ้น

รถยนต์ไฟฟ้าคืออนาคต | การเลือกรถไฟฟ้าสักคัน | การเตรียมที่ชาร์จในบ้าน

สนับสนุนให้ Easyhome อยู่รับใช้ท่านตลอดไป ด้วยการคลิกแบนเนอร์ไปเยี่ยมผู้สนับสนุนของเราด้วยครับ
นโยบายความเป็นส่วนตัว Our Policy

ยินดีต้อนรับทุกท่านสู่เว็บไซต์ Easyhome in Thailand เว็บไซต์ของเรา ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)