โลกไอทีปี 2555 มีการคาดหมายถึงแนวโน้มเทคโนโลยีใหม่ในปีนี้ไว้หลายเรื่องที่น่าสนใจ เช่น อาลัย Netbook เทคโนโลยีที่อายุสั้นเกินคาด เร็วขนาดมีหลายๆ คนไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันหมายถึงอะไร ปีนี้จะเป็นสมรภูมิเดือดของบรรดาเครื่องพกพาตระกูลแท็ปเล็ตทั้งหลาย โดยเฉพาะสองค่ายใหญ่อย่าง iOS จากค่าย Apple และ Andriod จากค่าย Google โดยมีบริษัทผู้ผลิตสินค้าเทคโนโลยีหลายรายเป็นกองทัพสนับสนุน
|
โดยจะกลายเป็นอุปกรณ์ตัวแรกสำหรับผู้ไม่เคยเล่นคอมพิวเตอร์มาก่อน เนื่องจากสามารถพกพาและใช้งานได้ง่าย อีกทั้งปีหน้าจะได้เห็นประสิทธิภาพความเร็วเพิ่มขึ้น และมีการพัฒนาแอปพลิเคชั่นด้านการศึกษาและธุรกิจมากขึ้น ในแง่การแข่งขันเชื่อว่าจะหนักขึ้น เพราะมีหลากหลายแพลตฟอร์ม ทั้งการบุกตลาดของไอแพด ที่เตรียมส่งรุ่นใหม่ขนาด 7.85 นิ้ว ออกมาทำตลาดในเดือนกุมภาพันธ์นี้ โดยคาดการณ์ยอดขายไตรมาส 1 ปี 2555 ว่าจะแตะ 9-10 ล้านเครื่อง ทั้งยังมีน้องใหม่อย่างอินเทล อะตอม, แอนดรอยด์ 4.0 และวินโดวส์ 8 เข้ามาร่วมแจมดันตลาดกันอีกหลายแรง
และในปี 2555 นี้ยังเป็นการเปล่ยนเทรนด์ของเครื่องโน้ตบุ๊คเป็นแบบบางเบา ซึ่ง Apple เคยเปิดตลาดมาก่อนหน้าแล้วในชื่อ Macbook Air แต่ในฝั่งเครื่องระบบปฏิบัติการวินโดว์กำลังลงสนามสู้ในชื่อ Ultrabook โดยจะเห็นบรรดาผู้ผลิตแห่เข้ามาในตลาดจำนวนมาก ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ราคาอัลตร้าบุ๊กจะลงมาอยู่ที่ประมาณ 600-700 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 20,000 บาทต้นๆ ก็จะช่วยผลักดันให้ตลาดกลุ่มนี้ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคยิ่งขึ้น
สงครามเทคโนโลยีอีกหนึ่งที่ขับเคี่ยวกันอย่างหนักคือ Smartphone
|
สมาร์ตโฟน จะฉลาดยิ่งกว่าเดิม โดยจะมีความสามารถสั่งงานด้วยเสียงได้ พร้อมทั้งจะเริ่มเปลี่ยนบทบาทไปเป็น "กระเป๋าเงิน" ด้วยเทคโนโลยี NFC (Near Field Communication) ชัดเจนมากขึ้น การต่อสู้หนักหน่วงน่าจะเป็นระหว่างคู่ iPhone vs Android ส่วน Windows Mobile คงตามมาห่างๆ แต่ Symbian คงปิดฉากตัวเองไปหลังจากที่ Nokia หันมาซบกับวินโดว์แล้ว
นอกจากนี้ Smart TV ที่เป็นการรวมตัวระหว่างทีวีกับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจะทวีความนิยมมากขึ้น โดยมีการคาดการณ์ยอดขายสมาร์ตทีวีปี 2555 จะสูงเป็น 2 เท่าของทีวีสามมิติ ไม่เท่านั้นพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคติดจอ เมื่อบวกกับความแรงของโซเชียล เน็ตเวิร์กกิ้ง ทั้งเฟซบุ๊ก ที่มีการเติบโต 100% ในเมืองไทยมีผู้ใช้ 13 ล้านราย เพิ่มขึ้นจากปี 2553 คาดว่าจะมีผู้ใช้เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว ในปี 2555 หรือ 26 ล้านราย ขณะที่ทวิตเตอร์มีผู้ใช้ 1.2 ล้านราย และยูทูบมีคนใช้ 1.2 ล้านวิวต่อวัน ทำให้ปี 2555 จะเห็นภาพการเปลี่ยนแปลงของสมาร์ตทีวีปรับสู่โซเชียลทีวี (Social TV)
และเปลี่ยนจาก Lean Back มาเป็น อินเตอร์แอกทีฟมากขึ้น โดยนอกจากจะเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้แล้ว ยังสามารถทำวิดีโอ แชต เล่นเฟซบุ๊ก และแชร์รายการทีวีที่ชื่นชอบให้กับเพื่อนได้ ตลอดจนกลายเป็นตลาดในการสั่งซื้อสินค้า หรือ โซเชียล ไดเรกต์ ทีวี ชอปปิ้ง
อัลตร้าบุ๊กบิ๊กเทรนด์ปี 2555
มุมมองของอินเทลกับแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในปี 2555 ตลาดจะมีการผลักดัน "อัลตร้าบุ๊ก" ให้แจ้งเกิด และเชื่อว่า จะเป็นเทรนด์ที่สร้างจุดเปลี่ยนในตลาดโน้ตบุ๊ก หลังจากที่อินเทลส่งโปรเซสเซอร์ เจนเนอเรชั่น 2 ออกสู่ตลาดตั้งแต่ต้นปี 2554 และพยายามปั้นอัลตร้าบุ๊กแจ้งเกิดในตลาดตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2554 ที่ผ่านมา
ในปี 2555 เอกรัศมิ์ อวยสินประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเทล ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด บอกว่า อินเทลยังคงขับเคลื่อนอัลตร้าบุ๊กอย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งที่จะเปลี่ยนไป คือโปรเซสเซอร์ที่ใช้ในอัลตร้าบุ๊กจะถูกพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น จากเจเนอเรชั่น 2 มาสู่ เจเนอเรชั่น 3 โดยมีชื่อรหัสว่า "ไอวี บริดจ์" (Ivy Bridge) เสริมให้อัลตร้าบุ๊กสามารถสแตนด์บายการใช้แบตเตอรี่นานขึ้น อีกทั้งประหยัดไฟ และมีประสิทธิภาพทำงานมากขึ้น
ไม่เพียงเท่านั้น ราคาของอัลตร้าบุ๊กยังจะลดลงจากนี้ โดยปี 2555 อาจจะได้เห็นราคาไม่ถึง 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 20,000 บาทต้นๆ เมื่อผนวกสองปัจจัยเข้าด้วยกัน รวมทั้งความพยายามผนึกกับผู้ผลิตส่งอัลตร้าบุ๊กทำตลาดมากขึ้น จากปัจจุบันที่มีเพียง 4 แบรนด์ ได่แก่ เอเซอร์ อัสซุล โตชิบา และเลอโนโว ก็น่าจะทำให้เป้าหมายที่วาดหวังไว้ 40% ของตลาดโน้ตบุ๊ก ไม่ไกลเกินเอื้อม
อีกหนึ่งเทรนด์ที่จะได้เห็นในปีหน้า ก็คือ เทคโนโลยีแสดงผลในรูปแบบหน้าจอ หรือ สกรีนนิฟิเคชั่น โดยรูปแบบขนาดจอจะมีความหลากหลายมากกว่าเดิม ทั้งมือถือ สมาร์ตโฟน โน้ตบุ๊ก เดสก์ทอป แท็บเลต และสมาร์ตทีวี เนื่องจากผู้บริโภคหนึ่งคนจะพกพาดีไวซ์มากกว่า 1 ตัว รวมทั้งการใช้อินเทอร์เน็ตมากขึ้น โดยใน 5 ปีคาดกันว่า ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจะเพิ่มขึ้นจาก 1.5 พันล้านคน เป็น 2.5 พันล้านคน ส่งผลให้แต่ละดีไวซ์มีรูปแบบใกล้เคียงกันมาก จนทำให้ตลาดเบลอ เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญผู้บริโภคต้องตอบตัวเองให้ได้ว่าต้องการอะไร ขณะที่ดีไวซ์เหล่านี้ก็ต้องปรับให้ตรงกับความต้องการ
อินเทลมองว่าการลงทุนทางด้านไอทียังมีต่อเนื่อง เม็ดเงินประมาณ 34-37% ของตลาดรวม เนื่องจาก ผลกระทบจากน้ำท่วม ทำให้เอสเอ็มอีและโรงงานอุตสาหกรรมต้องลงทุนซื้อเดสก์ทอปและโน้ตบุ๊กใหม่ โดยเชื่ออย่างน้อย 1-2 แสนรายจากตัวเลข 4 แสนราย ต้องเกิดการซื้อใหม่ อีกทั้งอานิสงส์จาก 3G ยังจะขับเคลื่อนการใช้โน้ตบุ๊กมากขึ้น รวมถึงเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ก็ต้องมีการใช้จ่ายด้านไอที
นั่นทำให้ อินเทล เชื่อว่า ตลาดรวมไอทีในปีหน้าจะยังเติบโต โดยในส่วนของโน้ตบุ๊กและพีซี จะมีมูลค่าประมาณ 5 ล้านเครื่อง เพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่มูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 3.7 ล้านเครื่อง
นอกจากนี้ ปี 2555 ยังเป็นปีที่อินเทลจะโฟกัสตลาดสมาร์ตโฟนและแท็บเลต โดยเบื้องต้นจะเริ่มจากสมาร์ตโฟนที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ที่มาพร้อมกับซีพียูอะตอมเป็นครั้งแรก ในช่วงครึ่งปีแรกของปีหน้า จากนั้นจึงค่อยไปที่วินโดวส์โฟน
"เราก็อยากออกสมาร์ตโฟนตัวแรกให้เร็วที่สุด แต่การที่เราออกช้า ไม่ได้หมายความว่า จะขายไม่ได้ เราจะทำให้มันน่าใช้มากขึ้น อีกทั้งจุดแข็งในเรื่องกระบวนการผลิต น่าจะทำให้เราได้เปรียบคู่แข่ง"
เป้าหมายการเข้ามาสู่ตลาดนี้ของอินเทล จะเน้นการเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภค โดยเฉพาะในกลุ่มเอนเตอร์ไพรส์ ซึ่งมีความต้องการสินค้าเหล่านี้ ทั้งโรงพยายาล และบันเทิง เพราะฉะนั้นการทำตลาดในช่วงแรกจึงไม่เน้นใช้กลยุทธ์ราคาต่ำ แต่จะเน้นแอปพลิเคชั่นที่แตกต่างและตอบโจทย์การใช้งานเป็นหลัก เพราะการนำอะตอมเข้าไปใส่ในสมาร์ตโฟนและแท็บเลต จะสามารถทำงานได้มากกว่า
ยุคบูม "คลาวด์" (Cloud)
ในมุมการแข่งขันของตลาดอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล ถือเป็นสนามที่ถือว่าดุเดือดตั้งแต่ต้นปี 2554 และน่าจะยังร้อนแรงต่อเนื่องไปถึงปี 2555 โดยจะเห็นว่า นอกจากเป้าหมายการปั้นยอดขายให้ได้ตามเป้าหมายแล้ว ผู้เล่นทั้งหลายยังมองไปถึงการตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้าเชิงลึกที่เริ่มปรับเปลี่ยนไปมากขึ้นด้วย
นฐกร พจนสัจ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท อีเอ็มซี อินฟอร์มชั่น ซิสเต็มส์ (ประเทศไทย) บอกว่า ปี 2555 หนึ่งในเทรนด์ที่จะเริ่มบูมอย่างชัดเจน ก็คือ กระแสคลาวด์ และแมนเนจเมนต์ เซอร์วิส ซึ่งเป็นการนำอุปกรณ์ไปตั้งและใช้งานนอกพื้นที่องค์กร เพื่อให้บริการผ่านเครือข่าย ลักษณะการใช้ของลูกค้าจะเปลี่ยนไปเป็นการเช่าใช้ และจ่ายตามการใช้งาน (Pay per Use) เท่านั้น
นอกจากนี้ จะเห็นแนวโน้มเวอร์ชวล เดสก์ทอป อินฟราสตรัคเจอร์ (VDI) เติบโตมากขึ้น เนื่องจากสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่เกิดขึ้น เป็นตัวผลักสำคัญให้ผู้บริโภคปรับเปลี่ยนวิถีการทำงานใหม่ จากการนั่งอยู่กับที่หน้าจอคอมพิวเตอร์หรือแล็ปทอป มาสู่อุปกรณ์พกพาที่หลากหลายขึ้น ไม่ว่าจะเป็น แท็บเลต และสมาร์ตโฟน
"กระแสคลาวด์และเวอร์ชวลจะเริ่มบูมจากองค์กรขนาดใหญ่และกลางก่อน จะเห็นได้จากตอนนี้หลายองค์กรเริ่มถามหาบริการ VDI มากขึ้น"
ปัจจุบันอีเอ็มซี มีผลิตภัณฑ์และบริการรองรับความต้องการของตลาดนี้อยู่แล้ว แต่ยังขาดพาร์ตเนอร์ในการทำตลาด โดยล่าสุดมีติดต่อเข้ามาประมาณ 3-4 ราย คิดว่าเพียงพอในการทำตลาดปี 2555 แน่นอน
นอกจากเทรนด์ของคลาวด์ และการทำเวอร์ชวล เดสก์ทอปที่จะมาแรงแล้ว ทิศทางการจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ หรือที่เรียกกันว่า Big Data จะเริ่มเห็นมากขึ้นในปีหน้าด้วย เนื่องจากปริมาณคอนเทนต์ที่มีมากและหลากหลายขึ้นทุกวัน ซึ่งการเข้าซื้อกิจการต่างๆ ของอีเอ็มซี ที่ผ่านมา จะเข้ามาช่วยเสริมแกร่งการทำตลาดของอีเอ็มซียิ่งขึ้น
โดยหนึ่งในโปรดักส์ที่อีเอ็มซีหมายมั่นให้เป็นหัวหอกในการบุกตลาดรับเทรนด์ดังกล่าว ก็คือ ISILON ซึ่งเป็นตู้สตอเรจในการเก็บข้อมูลหรือดาต้าขนาดใหญ่
ส่วนการลงทุนทางด้านไอที นฐกร เชื่อว่า โดยภาพรวมเม็ดเงินลงทุนไอทีจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากภาครัฐและโรงงานอุตสาหกรรมต้องการปรับไซต์ใหม่ แต่ในฝั่งโรงงานเม็ดเงินอาจลดลง ขณะที่ภาครัฐ เม็ดเงินส่วนใหญ่จะถูกใช้ในการฟื้นฟูภาวะน้ำท่วม ส่งผลให้การลงทุนไอทีในโครงการขนาดใหญ่น้อยลง ทว่าจะเป็นโครงการขนาดกลางเฉพาะหน่วยงานที่จำเป็นเท่านั้น เพื่อให้เกิดความคล่องตัวการทำงานมากขึ้น
ฟากสถาบันการเงิน และกลุ่มธุรกิจทั่วไป ยังมีการลงทุนในไอทีต่อเนื่อง โดยเฉพาะการทำไซต์สำรอง ด้วยการทำเป็น เวอร์ชวล ดาต้า เซ็นเตอร์ จะมีมากขึ้น เพื่อป้องกันภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
นฐกร บอกว่า การให้คำปรึกษาทางธุรกิจหรือบริการหลังการขาย ถือเป็นส่วนสำคัญสำหรับการทำตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ และสำหรับลูกค้ากลุ่มองค์กรแล้ว สิ่งนี้อาจจะสำคัญกว่ายิ่งการมีผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ลูกค้า นั่นจึงทำให้ อีเอ็มซี ผุดโครงการให้คำปรึกษา (Consult Service) ขึ้น เพื่อมุ่งให้คำปรึกษาทั้งด้านการวางแผน และควบคุมไม่ให้เกิดความเสียหาย
โครงการนี้เป็นโครงการที่เกิดขึ้นในช่วงสถานการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมา โดยไม่เจาะจงให้คำปรึกษาเฉพาะลูกค้าของอีเอ็มซีเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงองค์กรที่ไม่ได้เป็นลูกค้าของอีเอ็มซีด้วย เปรียบเสมือนเป็นการตอบแทนลูกค้า แต่ในขณะเดียวกันโครงการดังกล่าวยังช่วยขยายฐานลูกค้าในวงกว้างในอนาคต โดยโครงการนี้จะสิ้นสุดระยะเวลาในเดือนมีนาคม 2555
|